ไหนล่ะทฤษฎี? : นักฟุตบอลอิตาลีสูบบุหรี่วันละหลายซอง … เหตุไฉนไปถึงแชมป์โลก

แทงบอลออนไลน์

ไหนล่ะทฤษฎี? : นักฟุตบอลอิตาลีสูบบุหรี่วันละหลายซอง ... เหตุไฉนไปถึงแชมป์โลก

“มาร์คิซิโอ มักจะสูบบุหรี่ 4 ซองต่อวัน แต่ผมไม่เคยเห็นใครที่วิ่งได้แบบเขาเลยนะ”

ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น มีการเปิดเผยจากนักเตะต่างแดนที่ย้ายไปเล่นที่อิตาลี และพบความประหลาดอยู่หนึ่งอย่าง นั่นคือยอดนักเตะของ อิตาลี สูบบุหรี่กันเป็นว่าเล่น และผู้เล่นส่วนใหญ่อยู่ในชุดแชมป์โลกปี 2006 ด้วย

ก็ไหนว่าบุหรี่สูบแล้วทำลายสุขภาพ วิ่งไม่ดี แต่ทำไมนักเตะอิตาลีจึงมักทำได้ดีในการแข่งขันรายการใหญ่เสมอ ? แล้วพวกเขาสูบบุหรี่กันจริงหรือเปล่า ?

 

ร่วมหาคำตอบกับ Main Stand ที่นี่

นักเตะอิตาลีสูบบุหรี่จริงเหรอ ? 

“การเห็นนักเตะอิตาลีสูบบุหรี่เป็นเรื่องที่ผมช็อกมาก ๆ ที่สำคัญ เคลาดิโอ มาร์คิซิโอ มักจะสูบบุหรี่ 4 ซองต่อวัน แต่ผมไม่เคยเห็นใครที่วิ่งได้แบบเขาเลยนะ” ประโยคนี้ออกจากปากของ อาร์กมองต์ ตราโอเร อดีตดาวรุ่งที่ย้ายไปอยู่กับ ยูเวนตุส ตอนอายุ 20 ปี เมื่อฤดูกาล 2010-11


Photo : www.squawka.com

ตราโอเร อาจจะอายุน้อยในเวลานั้น แต่เขาผ่านการฝึกฝีเท้ากับ อาร์เซนอล จนเรียกได้ว่าผูกพันกับฟุตบอลและวัฒนธรรมลูกหนังของชาวอังกฤษเป็นอย่างดี เขาได้รับการสอนตั้งแต่ยังเด็กว่า การจะไปให้ถึงระดับแนวหน้าของโลกฟุตบอลบอลนั้น ต้องทำงานหนักหลากหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการดูแลสรีระร่างกาย การกิน การอยู่ และทัศนคติที่ดี

 

นักเตะอังกฤษจะปล่อยตัวเผละเต็มที่ เมาเต็มคราบ และสูบบุหรี่เต็มปอดก็ต่อเมื่ออยู่ในช่วงพรีซีซั่น อาจจะมีบางคนที่ไม่สามารถหยุดบุหรี่ในชีวิตประจำวันได้ แต่ก็มีส่วนน้อยมากหากเทียบกับคนที่ไม่สูบ นักเตะอย่าง เวย์น รูนี่ย์, ดิมิทาร์ เบอร์บาตอฟ และ แจ็ค วิลเชียร์ เคยภาพหลุดในการคาบบุหรี่หรือซิการ์อยู่บ้าง ทว่านอกจากนั้น ในหมู่นักฟุตบอลยุคหลังปี 2010 เป็นต้นมาก็แทบไม่ปรากฏภาพหลุดแบบนี้แล้ว 

แล้วที่ อิตาลี ไม่เป็นเช่นนั้นหรือ ? ทำไมนักเตะของพวกเขาถึงสูบบุหรี่กันอย่างไม่เกรงใจหน้าอินทร์หน้าพรหม หรือแท้จริงแล้วเป็นการอำกันของ ตราโอเร่ และแต่งเรื่องขึ้นมาเท่านั้น 

อย่างไรก็ตาม เรื่องก็คือมันไม่ใช่แค่ ตราโอเร่ แค่คนเดียวที่บอกอย่างนั้น นิคลาส เบนด์ทเนอร์ ที่เคยมาเล่นให้กับ ยูเวนตุส ในช่วงสั้น ๆ ก็บอกไม่ต่างกัน เขาพบภาพช็อคและเห็นด้วยตาตัวเองว่า นักเตะชาวอิตาเลียนในทีมยูเวนตุส สูบบุหรี่แทบทุกคน และทำกันเหมือนเป็นเรื่องปกติ 

“วันแรกที่ ยูเว่ ผมหาเพื่อนร่วมทีมไม่เจอซึ่งมันเป็นอะไรที่แปลกมาก” เบนด์ทเนอร์ เผยกับ BBC Radio 5 Live

“หลังจากนั้นผมก็ไปเจอพวกเขาประมาณ 10-12 คน อยู่ในห้องน้ำ กำลังดื่มกาแฟและสูบบุหรี่กันอยู่ พวกเขาคุยกันอย่างสนุกสนาน มันเป็นสัญญาณที่ยอดเยี่ยมสำหรับผม ทำให้รู้สึกว่าผมจะมีความสุขกับที่นี่” 

 


Photo : www.juvenews.eu

เรื่องนี้พอจะบอกได้ว่ามันเป็นความจริงในระดับหนึ่ง เพราะไม่ใช่แค่นักเตะจากค่าย ยูเวนตุส เท่านั้น นักเตะอิตาเลียนหลายคนยังมีภาพสูบบุหรี่หลุดมาให้เห็น ไม่ว่าจะยุคใหม่อย่าง ปาโบล ออสวัลโด, มาร์โก แวร์รัตติ, มาริโอ บาโลเตลลี นอกจากนี้ยังรวมถึงนักเตะรุ่นเก่า ๆ อีกมากมาย 

มันไม่ใช่เรื่องน่าตกใจอะไรหากคุณมองย้อนไปที่วัฒนธรรมของชาวอิตาเลียน สิ่งที่คุณเห็นนักเตะใน 10-20 ปีหลังสูบบุหรี่กันมันแค่จิ๊บ ๆ เพราะถ้าย้อนกลับไปก่อนหน้านั้น โดยเฉพาะยุค 80s-90s คุณจะต้องตกใจยิ่งกว่านั้น เพราะพวกคนในยุคเก่าดูดหนัก ดูดถี่กว่านี้เยอะ … ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าไม่ดี ทำไมถึงไม่มีใครหยุดวัฒนธรรมนี้เสียที ?

ดินแดนสายควัน 

บุคลากรฟุตบอลยุคเก่าของอิตาลี ถือว่าเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนโจ๋งครึ่มอย่างสุด ๆ เอาที่เห็นภาพง่ายที่สุดอย่าง เมาริซิโอ ซาร์รี่, คาร์โล อันเชล็อตติ หรือแม้กระทั่งกุนซือแชมป์โลกอย่าง มาร์เซโล ลิปปี้ ต่างก็เป็นสิงห์อมควันตัวยง พวกเขาพกบุหรี่ไปทุกที่ สูบทีละหลาย ๆ มวน ชนิดที่ว่าไม่ต้องเก็บทรงเหมือนนักเตะปัจจุบัน

 


Photo : sillyseason.com

“สิ่งหนึ่งที่คุณไม่สามารถเปลี่ยนแปลงคนอย่าง ซาร์รี่ ได้ คือความผูกพันของเขากับบุหรี่ เอาง่าย ๆ ว่าแค่คุณเข้าไปคุยกับเขาในห้องทำงานของเขา หลังจากที่คุณออกมาคุณต้องอาบน้ำใหม่เลย เพราะไม่งั้นตัวคุณจะเหม็นกลิ่นบุหรี่ มันจะติดตามเสื้อตามผ้าคุณไปหมด” จอร์โจ คิเอลลินี กองหลังตัวเก๋าของ อิตาลี และ ยูเวนตุส เผย

การได้เห็นคนเก่าคนแก่สูบบุหรี่กันแบบไม่กลัวทำลายสุขภาพแบบนี้ ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่นั่น ปัจจุบัน อิตาลี มีจุดขายบุหรี่ทุกตรอกซอกซอย และผู้สูบก็มีทุกเพศทุกวัย พวกเขามีประชากรทั้งหมด 60 ล้านคน แต่มีถึง 15 ล้านคน ที่สูบบุหรี่ในชีวิตประจำวัน คิดเป็น 25% ของประชากรทั้งประเทศ นี่คือความจริงที่น่าตกใจ 

พวกเขามีชีวิตที่ผูกพันกับควันบุหรี่มานานนม มันอยู่คู่กับการใช้ชีวิตประจำวันมาตั้งแต่ยุคผลิตยาสูบแบบอัดมวน โดยเฉพาะในช่วงปี 1950 ถึงปี 2000 การสูบบุหรี่ถือเป็นเทรนด์ของชาวอิตาเลียน โดยคนที่สูบบุหรี่แบบจริงจัง สูบทุกวันมีตั้งแต่อายุ 15-69 ปี พวกเขาสูบกันทุกที่ไม่ว่าจะในร้านอาหาร ผับบาร์ โรงพยาบาล หรือแม้แต่บนรถเมล์ที่เป็นขนส่งมวลชน 

 

การสูบบุหรี่ถูกมองเป็นเสน่ห์ และเป็นการแสดงออกในฐานะผู้อยู่ในดินแดนแห่งศิลปิน จนกระทั่งเมื่อมีคนสูบกันมากเข้า ทุก ๆ ที่มีแต่ควันบุหรี่ จึงทำให้เริ่มมีการประท้วงและเริ่มมีกฎหมายเพื่อคุ้มครองที่ไม่ได้สูบบุหรี่ขึ้นมาในภายหลัง ประกอบกับกรมการอนามัยโลก หรือ WHO เริ่มผลักดันการโฆษณาเรื่องข้อเสียของบุหรี่และมีการณรงค์ให้เลิกในช่วงปี 1970 อิตาลี จึงเริ่มคล้อยตาม 

พวกเขาพยายามจะลดจำนวนผู้สูบบุหรี่ให้น้อยลง โดยเฉพาะเรื่องของอายุของผู้สูบ ที่พยายามจะกันเด็กให้ห่างออกไป กฎหมายต่าง ๆ ก็เริ่มออกมาใช้ตั้งแต่ห้ามโฆษณา การติดป้ายเตือนตามบรรจุภัณฑ์ จนกระทั่งเริ่มมีกฎหมายห้ามสูบในที่สาธารณะ ก็ปาเข้าไปในช่วงปลายยุค 90s แล้ว ซึ่งแน่นอนว่าคนที่เกิดในยุค 50s-60s หรือ 70s ที่สูบบุหรี่มาตั้งแต่เด็กนั้นยากที่จะเลิกได้ และเลยตามเลยมาจนทุกวันนี้

สูบบุหรี่กับฟุตบอล ? 

คำถามคือสูบบุหรี่กันหนักขนาดนี้ ทำไมพวกเขายังคงเก่งฟุตบอล ทั้ง ๆ ที่ทุกคนก็รู้ข้อเสียว่าบุหรี่ส่งผลเสียต่อปอดโดยตรง และปอดคืออวัยวะที่สำคัญมากในการออกกำลังกาย ? 


Photo : bleacherreport.com

 

เป็นไปไม่ได้เลยที่สิ่งใดสิ่งหนึ่งจะมีแต่ผลเสีย 100% บุหรี่ เองก็เช่นกัน แม้ทุกคนบนโลกนี้จะรู้ว่า บุหรี่ สามารถทำลายสุขภาพปอดได้โดยตรง แต่มันมีเรื่องแปลก ๆ อยู่บ้าง และอาจจะเกี่ยวข้องกับเหล่านักเตะอิตาลี ที่สามารถสูบบุหรี่ไปแล้วก็เล่นฟุตบอลระดับสูงไปด้วยได้ 

บุหรี่สามารถเพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจได้ทั้งในระยะสั้น ๆ (เพิ่มขึ้นจากปกติราว 20 ครั้งต่อนาที) และตลอดวัน (เฉลี่ยเพิ่มขึ้น 7 ครั้งต่อนาที) ดังนั้นสำหรับอาชีพนักฟุตบอลที่ต้องการการตื่นตัวเมื่อลงสนาม บุหรี่อาจจะพอมีข้อดีอยู่บ้างในส่วนนี้  

นอกจากนี้ นิโคตินในบุหรี่ยังสัมพันธ์กับนักฟุตบอลบางอย่าง เนื่องจากมันยังออกฤทธิ์ให้มีความอยากอาหารน้อยลง ด้วยการสร้างชั้นที่เคลือบลิ้นทำให้อาหารไม่อร่อย ดังนั้นสำหรับการสูบุหรี่วันละซองสองซอง ก็อาจจะเป็นไปได้ที่ผู้สูบจะกินอาหารน้อยลง และอาจจะทำให้ลดน้ำหนักได้ไปโดยปริยาย 

อีกส่วนหนึ่งที่อาจจะโยงไปหากันได้คือ นิโคติน ซึ่งเป็นสารเคมีที่ใส่ในบุหรี่มากที่สุดนั้น มีฤทธิ์ที่จะไปกดประสาทส่วนกลางของสมอง หลังจากที่สูบเสร็จและนิโคตินออกฤทธิ์ จะทำให้ผู้สูบรู้สึกผ่อนคลาย สดชื่น และกระปรี้กระเปร่าในช่วงขณะหนึ่ง ซึ่งงจุดนี้ก็ดูจะสัมพันธ์กับสไตล์การเล่นของนักเตะ อิตาลี ที่ดูจะเป็นศิลปิน ไปเนิบ ๆ ใจเย็น ๆ แก้ไขสถานการณ์ที่ดูจวนตัวให้ดูง่าย ๆ แบบเหลือเชื่อเมื่ออยู่ในสนาม ขณะที่กุนซือชาวอิตาเลียนก็มักจะเป็นพวกจอมแทคติกความคิดซับซ้อน เชี่ยวชาญในการแก้เกม ดังนั้นก็ไม่แน่ว่ากุนซืออย่าง ลิปปี้ อาจจะมีบุหรี่เป็นเคล็ดลับในการพาทีมคว้าแชมป์โลกก็เป็นได้ 


Photo : FIFA World Cup

ดูเหมือนนี่จะเป็นข้อดีทั้งหมดที่พอจะหาได้กับบุหรี่ ซึ่งแน่นอนว่ามันพ่วงมากับข้อเสียที่ผ่านการพิสูจน์ทางการแพทย์มาแล้วมากมายหลายข้อ อย่างไรก็ตามในส่วนของข้อดีนั้น มีความสัมพันธ์กับนิสัยหรือ DNA การเล่นฟุตบอลของชาวอิตาเลียนพอสมควร 

โชคยังดีที่รัฐบาลอิตาลีไม่ได้ปล่อยให้ปัญหาเรื่องนี้คาราคาซังจนแก้ไขไม่ได้ พวกเขาพบปัญหาการสูบบุหรี่ที่ทำลายสุขภาพของคนในประเทศ ไม่ว่าจะคนสูบโดยตรง หรือผู้รับควันบุหรี่มือ 2 ที่ถือเป็นภาระของรัฐในการดูแลสุขภาพ ดังนั้นพวกเขาจึงแก้ไขอย่างจริงจังขึ้นเรื่อย ๆ ในทุก ๆ ปี 

ในปี 1990 อิตาลี ควบคุมการติดฉลากเพื่อบอกข้อเสียจากบุหรี่ว่าทำลายสุขภาพขั้นร้ายแรง เช่นเดียวกับการกระจายความรู้เรื่องข้อเสียของบุหรี่ให้กับนักเรียนทุกโรงเรียนในประเทศ รวมถึงการห้ามโฆษณาบุหรี่ทั้งทางตรงและทางอ้อมทุกรูปแบบ  

จนกระทั่งหลังเข้ายุค 2000s ทุกสิ่งก็เริ่มเป็นรูปเป็นร่าง เนื่องจาก อิตาลี เป็นประเทศที่ 4 ในยุโรปที่ออกกฎหมายห้ามสูบบุหรี่ในที่สาธารณะ ทำให้อัตราของผู้สูบเริ่มลดลง หากนับในช่วง 20 ปีหลังสุด อิตาลี มีคนสูบบุหรี่ลดลงไป 8% โดยเฉพาะบางเขตที่ออกกฎหมายจริงจัง เช่น ทัสคานี, ซาร์ดิเนีย, คาลาเบรีย และ คาปาเนีย ที่บางเมืองนั้นมียอดผู้สูบลดลงเกิน 70% เลยทีเดียว โดยปัจจุบัน อิตาลี เป็นประเทศที่มีประชากรสูบบุหรี่มากที่สุดเป็นอันดับ 34 ของโลก ซึ่งถือว่าลดลงจากเดิมที่ติดอยู่ช่วงท็อป 20 มาโดยตลอด 

เมื่อลองมาผนวกกราฟของนักฟุตบอล อิตาลี จะเห็นได้ว่ากลุ่มนักเตะชุดแชมป์โลกปี 2006 มีช่วงอายุการเกิดและการเป็นวัยรุ่นคาบเกี่ยวกับช่วงยุค 80s และ 90s ซึ่งเป็นช่วงที่เริ่มรณรงค์การเลิกสูบหรี่ ดังนั้นพวกเขาอาจจะมีการสูบบุหรี่อยู่บ้าง ตามยุคสมัย แต่นักเตะที่เกิดหลังยุคปี 2000 เป็นต้นมาก็จะห่างการสูบบุหรี่มากขึ้น ตามข้อกฎหมายและนโยบายของรัฐบาลนั่นเอง

จำนวนผู้สูบที่ลดลง ย่อมสามารถต่อยอดมาเป็นการเพิ่มจำนวนนักฟุตบอลที่เก่งกาจขึ้นโดยปริยาย แต่เหนือสิ่งอื่นใด เหตุผลที่ฟุตบอลทีมชาติอิตาลียังคงเป็นทีมหัวแถวได้ เพราะสไตล์ของฟุตบอลที่ชัดเจน และนิสัยของชาวอิตาลีโดยตรง

ดร. วิทย์ สิทธิเวคิน ผู้เคยเป็นทั้งผู้ประกาศข่าวเศรษฐกิจ นักข่าวกีฬาที่ประเทศอังกฤษ ไปจนถึงผู้บริหารบริษัทชั้นนำของประเทศไทย เคยให้สัมภาษณ์กับ Main Stand เกี่ยวกับเรื่อง “วิธีคิด” เกี่ยวกับฟุตบอลไว้อย่างน่าสนใจ โดยยกตัวอย่างในฟุตบอลโลกปี 2006 ที่ อิตาลี เอาชนะ เยอรมัน ที่เป็นเจ้าภาพในรอบตัดเชือกว่า 

“เยอรมันกับอิตาลีเป็นชาติที่เก่งทั้งคู่ แต่พวกเขามีวิธีการทำงานที่ต่างกันชัดเจน เยอรมันต้องมาพร้อมกับระเบียบแบบแผน วางแผนในการทำงาน วางแผนที่ชัดเจนกับการเล่นฟุตบอล ขณะที่อิตาลีใช้ความคิดสร้างสรรค์ เน้นจินตนาการ การสร้างแทคติกฟุตบอลของอิตาลี สร้างมาจากการเอาจุดเด่นของนักเตะในทีมมารวมกัน”

“ผมมองว่าฟุตบอลสะท้อนให้เห็นตัวตน จิตวิญญาณของมนุษย์ในแต่ละชาติ โดยตกผลึกความคิดนี้ได้ตอนปี 2006 พี่ได้ดูฟุตบอลโลกในเกมรอบรองชนะเลิศที่เยอรมันเจอกับอิตาลี ซึ่งอิตาลีชนะ แล้วพี่ก็คิดว่า ทำไมอิตาลีถึงชนะ ทั้งที่เยอรมันในฟุตบอลโลกครั้งนั้น เป็นทั้งเจ้าภาพ เป็นทีมที่เล่นได้แข็งแกร่งที่สุด ผู้เล่นก็ยอดเยี่ยมมาก แต่ทำไมแพ้อิตาลี”

“ถ้าเราไปย้อนดูว่าอิตาลี ชนะเยอรมันได้อย่างไรในเกมนั้น จะเห็นว่าประตูที่ได้ท้ายเกมคือลูกยิงผีจับยัด แล้วมันสะท้อนอะไร ประตูปลดล็อกที่อิตาลีได้ในวันนั้น มาจากการยิงเปรี้ยงเดียวหาย ในนาทีที่ 119 จะหมดเวลาอยู่แล้ว มันสะท้อนถึงจินตนาการและการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าที่ดีมาก ของชาวอิตาลี หลังจากนั้นพี่มีความเชื่อฝังอยู่ในหัว คนแต่ละชาติมีจิตวิญญาณที่แตกต่างกัน มีลักษณะเฉพาะของตัวเอง และจิตวิญญาณพวกนี้ถ่ายทอดผ่านการเล่นฟุตบอล DNA ของมนุษย์กับ DNA ของฟุตบอลเชื่อมโยงกัน” นี่คือส่วนหนึ่งที่ ดร.วิทย์ พูดถึงฟุตบอลอิตาลี

อ้างอิงจากบทสัมภาษณ์ดังกล่าว บวกกับลักษณะการเล่นของนักเตะ อิตาลี มันคือสิ่งที่พอบอกได้ว่า พวกเขาชอบการด้นสดมากกว่าการสร้างตั้งแต่รากฐาน ดังนั้นจึงไม่แปลกที่นักเตะอิตาลีรุ่นก่อน ๆ จะไม่กลัวว่าการสูบบุหรี่จะทำร้ายสุขภาพหรืออาชีพนักฟุตบอลของพวกเขา พวกเขาแค่รู้หน้าที่ว่า เมื่อลงสนามไปต้องไปคว้าชัยชนะ และเมื่อเป็นนักฟุตบอลก็พยายามในส่วนตัวเองให้เต็มที่ 

ดังนั้นการที่ เบนด์ทเนอร์ หรือ ตราโอเร่ พูดเกี่ยวกับนักเตะอิตาลี ถึงเรื่องของบุหรี่ ก็สามารถยืนยันเรื่องนี้ได้อีกเช่นกัน พวกเขาสูบบุหรี่เมื่ออยู่นอกสนามรวมถึงห้องแต่งตัว แต่เมื่อต้องลงซ้อม พวกเขาเป็นมืออาชีพ และมีความพิเศษบางอย่างในแบบที่ต่อให้ฝึกอย่างไรก็ยากจะเลียนแบบได้ มันอาจจะเป็นพรสวรรค์เฉพาะตัว หรืออาจะเรียกได้ว่าเป็นเสน่ห์และ DNA แบบ อิตาเลียน สไตล์ ก็ว่าได้ 

เราคงไม่มีเหตุผลมายืนยันว่าปอดพวกเขาแข็งแรงขนาดไหนจนถึงขั้นที่สามารถเล่นฟุตบอลระดับสูงได้โดยที่ยังเป็นคนสูบบุหรี่ เรื่องนี้ไม่มีข้อมูลสุขภาพของนักเตะที่โดนอ้างถึงอย่าง ปิร์โล่, มาร์คิซิโอ หรือ บุฟฟ่อน มายืนยัน แต่สิ่งที่ยืนยันคือตลอดชีวิตค้าแข้งของพวกเขาเหล่านี้ อยู่ในการเล่นในระดับมาตรฐานสูงมาตลอด ดังนั้นการที่พวกเขาสูบบุหรี่จึงไม่มีใครว่าได้ 

จะว่าด้วยเรื่องวัฒนธรรม นโยบายของรัฐ สภาพแวดล้อม หรือวิธีการเล่นฟุตบอลในแบบของตัวเองตามฉบับ อิตาเลียน DNA ถือเป็นเหตุผลรวม ๆ กันที่บอกได้ว่าทำไมพวกเขาจึงสามารถเป็นแชมป์โลกได้ถึง 4 ครั้ง … 

“นักเตะแบบ บุฟฟ่อน กับ ปิร์โล่ คุณจะว่าอะไรเขาได้ละ หากคุณลองดูเส้นทางการค้าแข้งและความเป็นมืออาชีพของพวกเขา มันเป็นอะไรที่ทำให้ผมตาสว่างเลย สิ่งที่พวกเขาแสดงออกมาในสนาม และการมีส่วนร่วมในห้องแต่งตัว ทำให้ไม่มีใครมาตั้งคำถามเรื่องการสูบบุหรี่ของพวกเขา” นี่คือสิ่งที่ นิคลาส เบนด์ทเนอร์ บอกและเราก็คงเห็นพ้องต้องกันกับเขาแบบเลี่ยงไม่ได้แต่โดยดี 

 

แทงบอลออนไลน์

วิเคราะห์บอลล่าสุด

ข่าวล่าสุด