ดราม่า “กันเนอร์สซอรัส” โดนไล่ออกจบลงด้วยดี เมื่อ อาร์เซน่อล ตัดสินใจจ้างงานเจ้าไดโนเสาร์อีกครั้ง หลังจากที่ได้รับการผลักดันจากแฟนๆ และนักเตะในทีมอย่าง เมซุต โอซิล
นั่นคือเรื่องที่ทุกคนรู้… ทว่าในอีกแง่มุมหนึ่งที่หลายคนไม่เคยเห็นคือช่วงเวลาอันยาวนานกับการสวมวิญญาณมาสค็อตสโมสรของ “เจอร์รี่ คีย์” วัย 55 ปี คนนี้ ที่จะทำให้คุณเข้าใจว่า “การทำงานที่ตัวเองรักที่แท้จริงเป็นเช่นไร”
ติดตามเรื่องราวของชายผู้แบกภาพลักษณ์ไดโนเสาร์อารมณ์ดี และกลายเป็นสัญลักษณ์ที่แฟนๆปืนใหญ่ผูกพันสุดหัวใจและให้คุณค่ากับเขาจนชนิดที่ว่าไม่ต้องซื้อตัว โทมัส ปาเตย์ ก็ได้ ขอเพียงให้ เจอร์รี่ คีย์ ได้ทำงานของเขาต่อไป
ตำนานไดโนเสาร์กันเนอร์ส
ทุกตำนานมีเรื่องเล่าเสมอ และ กันเนอร์สซอรัส เองก็เช่นกัน.. เจ้าไดโนเสาร์ตัวสีเขียว มีเขี้ยวสีขาว ที่ใบหน้าเปื้อนยิ้มตลอด 24 ชั่วโมงตัวนี้ มีจุดเริ่มต้นของมันอย่างน่าสนใจ เรื่องราวมันเกิดขึ้นในปี 1993 สมัยที่ อาร์เซน่อล ต่อเติมอัฒจันทร์โซนหนึ่งของสนาม ไฮบิวรี่ สนามเหย้าของเขา
“ในขณะที่การก่อสร้างส่วน North Bank ที่สนามกีฬา Highbury ในช่วงฤดูร้อนปี 1993 คนงานได้พบกับบางสิ่งที่ดูเหมือนกับก้อนหินขนาดใหญ่”
“ณ ตอนแรกทุกคนคิดว่ามันอาจจะเป็นระเบิดจากยุคสงครามโลกที่ยังไม่ได้แกะสลัก พวกเขาจึงเอามาเช็คอย่างละเอียดปัดฝุ่นอย่างระมัดระวัง จนกระทั่งรู้ตัวอีกทีก็พบว่าแท้จริงแล้วมันคือไข่อะไรบางอย่าง… มันเป็นไข่ขนาดมหึมา”
“ไข่ใบนั้นได้ถูกนำไปให้ความอบอุ่น เมื่อเวลาผ่านไปกลุ่มคนงานเริ่มเล่ากันว่าพวกเขาเห็นมันสั่นเหมือนมีปฎิกิริยาอะไรบางอย่าง จากนั้นพวกเขาเริ่มเอาผ้าห่มลายอาร์เซน่อลมาคลุมมันอีกที สุดท้ายไข่ก็แตกและทุกคนก็ต้องประหลาดใจเมื่อได้เห็นสิ่งนี้”
“มันคือไดโนเสาร์สีเขียวตัวเล็กๆ มีหางยาวเฟื้อย ในไม่ช้ามันก็ตัวโตขึ้นเป็นขนาด 7 ฟุตสามารถใส่ชุดแข่ง อาร์เซน่อล และรองเท้าคู่โตเดินมอบความสุขให้กับแฟนบอล มันถูกตั้งชื่อว่า กันเนอร์สซอรัส เร็กซ์ และเกมแรกที่มันเดินลงสู่สนาม อาร์เซน่อล ชนะ แมนฯ ซิตี้ 3-0”
นี่คือเรื่องราวทั้งหมดของเว็บไซต์หลักของ อาร์เซน่อล และ ESPN บอกเล่าถึงจุดกำเนิดของ กันเนอร์สซอรัส
ทุกคนรู้ว่านี่คือเรื่องแต่ง ไดโนเสาร์สูญพันธ์จากโลกนี้ไปแล้วกว่า 65 ล้านปี และเจ้าไดโนเสาร์กันเนอร์สซอรัสตัวนี้ ก็เป็นแค่มาสค็อตตุ๊กตาของสโมสรเท่านั้น ดังนั้นจะสร้างสตอรี่โกหกที่ไม่มีใครเชื่อนี้ไปเพื่ออะไร? …
แต่ทุกอย่างล้วนมีเหตุผล ทำไมพวกเขาจึงต้องสร้างสตอรี่นี้ขึ้นมา สาเหตุนั้นเรียบง่ายมากเพราะยังมีแฟนบอลบางกลุ่มที่พร้อมจะเชื่อและมีความสุขเมื่อได้รู้ว่าไดโนเสาร์ยังมีอยู่จริง
จงอย่าลืมเด็ดขาดว่าคำว่าแฟนบอล ไม่ได้หมายถึงผู้ใหญ่ที่รู้ประสีประสาเพียงกลุ่มเดียวเท่านั้น ยังมีกลุ่มเด็กน้อยที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะอีกหลายคนที่หลงรักสโมสรแห่งนี้ พวกเขาอาจจะเริ่มดูฟุตบอลตั้งแต่ 3-4 ขวบ แต่ที่แน่ๆคือโลกของพวกเขาเป็นโลกอีกใบที่ผู้ใหญ่ไม่เข้าใจ…
พวกเขาเชื่อในสิ่งตาทั้ง 2 ข้างของพวกเขาเห็น และรักในสิ่งที่พวกเขาสัมผัสได้โดยที่ไม่ต้องใช้การหักล้างหาเหตุผล และนั่นเองคือต้นกำเนิดของ กันเนอร์สซอรัสที่แท้จริง
หุ่นไดโนเสาร์ที่มีคนใส่อยู่ข้างใน ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเติมเต็มความสุข และเสียงหัวเราะในเเต่ละเกมจากเด็กๆเหล่านี้ ภาพบรรยากาศการแข่งแต่ละครั้ง กันเนอร์สซอรัส จะเดินไปกระเซ้าเย้าแหย่กับแฟนรุ่นเยาว์ จากนั้นเขาก็จะปรากฎตัวในสนามก่อนที่นักเตะเดินลงสู่สนามเพื่อแข่งขันจริง
ความจริงมันไม่ได้มีอะไรมากกว่าคำว่า “มาสค็อต” เพราะ กันเนอร์สซอรัส ถูกออกแบบโดย ปีเตอร์ โลเวลล์ เด็กหนุ่มอายุ 11 ปี ในงานแข่งขันประกวดออกแบบมาสค็อตของสโมสรในปี 1993 และผลงาน ไดโนเสาร์กันเนอร์ส ของเขาก็ชนะรางวัล
เรื่องทั้งหมดมันมีจุดเริ่มต้นที่ง่ายดาย แต่สิ่งที่ทำให้เรื่องนี้เป็นตำนานที่แท้จริง ไม่ใช่หุ่นไดโนเสาร์ตัวสีเขียวหรอก
แต่มันคือมนุษย์ผู้ทุกข์ทรมานในการรับบทมันมากกว่า…
ใส่เต็มที่เพื่องานที่เรารัก
หุ่นมาสค็อต คงไม่มีค่าหากว่ามันไม่สามารถใส่จิตวิญญาณที่และความมีชีวิตชีวาลงไปได้ ดังนั้นผู้ที่สวมใส่มันจะต้องรับภาระอันหนักอึ้ง เพราะอาชีพนี้ไม่มีทางที่จะได้รับค่าตอบแทนสูงตามสไตล์ผู้ทำงานเบื้องหลัง
ใครก็ตามที่สวมใส่มันพวกเขาจะต้องสวมวิญญาณการเป็นไดโนเสาร์ขี้เล่นและสร้างความสุขให้แฟนๆให้ได้…
คงต้องขออนุญาตย้อนเล่าเรื่องส่วนตัวกันสักนิด ครั้งหนึ่งเมื่อหลายปีก่อนตัวผู้เขียนเคยมีประสบการณ์เป็นมาสค็อตตามงานอีเวนท์คอนเสิร์ตงานหนึ่งสมัยที่ยังเป็นนักศึกษาอยู่และพบว่าอาชีพนี้ไม่ได้ง่ายอย่างที่ใครคิด มันออกแนวทรมานร่างกายและจิตใจด้วยซ้ำ
เมื่อเข้าไปอยู่ข้างในชุดความยากลำบากแรกคือการขยับและเคลื่อนที่ เนื่องจากงานมาสค็อตนั้นจำเป็นจะต้องเดินไปตามที่ต่างๆพบปะกับผู้คนในงานเพื่อให้ถ่ายรูปหรือให้เด็กๆได้เล่นอะไรก็ว่าไป แต่ภายในชุดนั้นมันทั้งแคบและร้อนมาก อากาศหายใจบางเบาสุดๆ ยิ่งใส่นานเท่าไหร่ยิ่งชวนให้เป็นลมล้มพับลงไปเท่านั้น หากนึกภาพไม่ออกให้ลองนึกภาพตอนนั่งรถเมล์ลมตอนฝนตกที่คนแน่นๆและกระจกถูกปิด ความอึดอัดมันระดับเดียวกันชัดๆ
ลำพังแค่หายใจยังยาก แต่งานหลักคือการเดินไปตามจุดต่างๆ โดยที่ความเทอะทะของชุดมาสค็อตนั้นทำให้มองไม่เห็นเท้าของตัวเองด้วยซ้ำไป ต้องให้คนคอยจับมือพาไป
ซึ่งกว่าจะทำหน้าที่ครบ 1 ชั่วโมงนั้นสามารถใช้คำว่า “ทรมาน” ได้อย่างเต็มปาก เมื่อถอดชุดได้ก็เหมือนได้พบสวรรค์บนดินอย่างไรอย่างนั้นเลยทีเดียว สิ่งเดียวที่คิดได้เมื่อรับเงินและจบงานคือ “กูจะไม่รับงานมาสค็อตอีกเเล้ว” ซึ่งก็เป็นเช่นนั้นจนทุกวันนี้
อย่างไรก็ตามสิ่งสำคัญอีกอย่างคือ เมื่อเป็นมาสค็อตไม่มีใครรู้ว่าเราเหนื่อยขนาดไหน ไม่มีคำชมใดๆให้คนใส่ชุดมาสค็อต ดังนั้นไม่ว่าจะพยายามเอ็นเตอร์เทนเท่าไหร่ คนก็จะพูดถึงตัวมาสค็อตไม่ใช่ตัวผู้สวมใส่
ดังนั้นการที่ใครสักคนจะอยู่ในสภาวะที่เหนื่อยและทรมานในชุดๆนี้ ได้เวลานานถึง 27 ปี แต่ละแมตช์เดย์เขาต้องสวมใส่ชุด กันเนอร์สซอรัส หลายชั่วโมง เขาต้องเป็นคนที่สัมผัสถึงความสุขบางอย่าง ที่คนอื่นๆไม่เคยพบเป็นแน่แท้
ผู้สวมใส่และรับบทบาทกันเนอ์สซอรัส ตั้งแต่ปี 1993 จนถึงทุกวันนี้มีคนเดียวเท่านั้น และไม่มีใครที่จะสามารถมาแย่งหน้าที่ที่แสนทรมานนี้จากชายที่ชื่อว่า เจอร์รี่ คีย์ ไปได้
ย้อนกลับไปนานโขก่อนที่เขาจะมารับบทบาทมาสค็อตไดโนเสาร์ เจอร์รี่ คีย์ นั้นเป็นแฟนบอลเดนตายของ อาร์เซน่อล ที่ถือตั๋วปีมาตั้งแต่ปี 1963 หลังจากที่เขาโตเป็นหนุ่มเขาก็ได้งานทำในสโมสร โดยการเป็นคนขับรถและอยู่แผนกอื่นๆ เช่น เจ้าหน้าที่ฝ่ายพานักท่องเที่ยวทัวร์สนาม เรียกได้ว่าจับฉ่ายไปเรื่อย โดยรวมเเล้วเขาถือเป็นพนักงานระดับปฎิบัติการ ที่ไม่ได้มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักของแฟนบอลอะไร
จนกระทั่ง กันเนอร์สซอรัส ถือกำเนิดในปี 1993 เขาตั้งใจรับหน้าที่สวมใส่มันเอง ด้วยปณิทานที่แน่วแน่ว่าไม่มีใครอีกเเล้วในโลกนี้ที่จะรู้จักอาร์เซน่อลและใส่จิตวิญญาณกูนเนอร์สลงไปในหุ่นไดโนเสาร์ได้เพอร์เฟ็กต์เท่ากับตัวเขาเอง
มาสค็อต และชีวิตของ เจอร์รี่ ในบทบาทใหม่นั้นยากลำบากอย่างไม่ต้องสงสัย ขึ้นชื่อว่าอาชีพบริการขายความสุขแล้ว ไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นก็ต้องเอ็นจอยกับสถานการณ์จนกว่าจะจบหน้างาน
กันเนอร์สซอรัส จะโดนแฟนบอลเด็กรุมทึ้งทั้งเกม บางคนดึงแขน บางคนดึงหาง บางครั้งก็ต้องรับมือกับผู้ใหญ่ที่เมาแอ๋ก่อนเกมเริ่มกระโดดเข้าใส่บ้าง แซวบ้าง ตุ๊ยท้องแบบหยอกๆ(แต่อาจจะเจ็บจริง)บ้าง
จากไฮบิวรี่ ถึง เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม ไม่ต้องสืบว่าพื้นที่ของสนามเหย้าทัพปืนใหญ่นั้นกว้างขวางขนาดไหน การใส่ชุดมาสค็อตที่มีน้ำหนักระดับ 10 กิโลกรัมหรือมากกว่านั้น และเดินไปรอบๆเพื่อเข้าไปหาแฟนบอลให้ได้มากที่สุดต้องใช้คำว่าโคตรเหนื่อย ถึงจะเข้าแก๊ปมากที่สุด
หากไม่ใช่คนที่รักในหน้าที่นี้จริงๆ เห็นที่จะต้องรีบถอดชุดออกและพอกันแค่นี้หากเทียบความลำบากกับรายรับที่สวนทางกับความเหนื่อยล้าของร่างกาย
อย่างไรก็ตามอากัปกิริยาของ กันเนอร์สซอรัส ที่ทุกคนสัมผัสได้คือ เขายังคงคาแร็คเตอร์ความกวนเอาไว้ไม่เปลี่ยนแปลง
เจอร์รี่ สวมวิญญานการเป็นมาสค็อตได้อย่างไร้ที่ติ โอบกอดเด็กๆที่มาขอถ่ายรูป กวนประสาทพวกขี้เมา หยอกล้อกลุ่มนักเตะของสโมสรเมื่อลงจากรถทัวร์สู่ห้องแต่งตัว มีนักเตะหลายคนที่ชอบเล่นกับเขาด้วย อาทิ เอียน ไรท์ ตำนานดาวยิงของทีมที่มักเข้ามาเป็นพิธีกรภาคสนาม เพราะเมื่อ ไรท์ เห็นกันเนอร์สซอรัสทีไร เขาจะกระโดดปล้ำจนล้มกลิ้งล้มหงายแถมชกไม่ยั้งด้วยอารมณ์หมั่นเขี้ยว สร้างเสียงหัวเราะให้ผู้พบเห็นเสมอ ภาพเหล่านี้คือสิ่งที่แฟนบอล อาร์เซน่อล คุ้นตาเป็นอย่างดี
ตลอดชีวิตการทำงานเป็นหุ่นมาสค็อต เจอร์รี่ ทุ่มสุดตัวขนาดที่ว่าเขาเคยพลาดงานแต่งงานของพี่ชายตัวเองมาเเล้ว เนื่องจากในวันนั้นดันมีคิวตรงกับวันที่ อาร์เซน่อล ต้องเล่นเกมเหย้า ซึ่งเป็นหน้าที่ที่เขาทิ้งไม่ได้ นั่นแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของสโมสรและหน้าที่ที่มีต่อเขาเป็นอย่างดี
งานแต่ละวันของเขาอาจจะจบลงแค่คำพูดว่า “วันนี้หนักเอาเรื่องแฮะ” จากนั้นก็เปิดเบียร์เย็นๆสักขวด และยิ้มเมื่อย้อนสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ แม้ไม่มีคำชม ใครไม่เห็นไม่เป็นไร.. แต่ชีวิตก็มีความสุขดี ชีวิตคนเราจะเอาอะไรมากกว่าอีก?
ผลของความทุ่มเท
ความสุขที่เกิดขึ้นที่แฟนๆ อาร์เซน่อลทุกคนคิดว่ามันจะยังคงอยู่ตลอดไป พวกเขาไม่เคยคิดหรอกว่าภายในชุดมาสค็อต กันเนอร์สซอรัส มีคนที่ต้องเหนื่อยหนักกับหน้าที่สวมใส่จิตวิญญาณลงไปให้กับมัน
หลายคนอาจจะคิดว่านี่คือมาสค็อตตัวหนึ่งที่คอยเอ็นเตอร์เทนแฟนๆไปเรื่อยๆอย่างไม่รู้จบ เพราะมาสค็อตตัวนี้ไม่มีวันตาย เนื่องจากมันเป็นสิ่งไม่มีชีวิต ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็แค่เปลี่ยนคนสวมใส่มัน กันเนอร์สซอรัส ก็สามารถเดินออกมาพบปะแฟนๆได้เหมือนเดิม
อย่างไรก็ตามการทำอะไรสักอย่างด้วยความทุ่มเทและรักที่จะทำให้มันให้ดีนั้นคุ้มค่าเสมอ ไม่ว่าวันใดก็วันหนึ่ง ทุกคนจะเห็นคุณค่าแและรู้ว่าสิ่งที่คุณได้ทำลงไปนั้นน่าชื่นชมขนาดไหน … และวันที่ เจอร์รี่ คีย์ ได้รู้ว่าสิ่งที่เขานั้นไม่เคยสูญเปล่าก็มาถึง ในวิกฤติที่ทั้งโลกเผชิญนั่นคือ โควิด-19
อาร์เซน่อล เองก็เริ่มประกาศลดพนักงานและปรับโครงสร้างองค์กรเพื่อตอบสนองโลกยุคใหม่ และหนึ่งในตำแหน่งที่ต้องโดน “หั่นออก” 1 ใน 55 ตำแหน่งคือ มาสค็อต เพราะเมื่อไม่มีแฟนบอลเข้าสนาม จะให้ มาสค็อต เอ็นเตอร์เทนใคร?
เท่านั้นเองเมื่อข่าวถูกเผยเเพร่ ภาพจำของแฟนอาร์เซน่อลทุกคนไม่ว่าจะคนที่เคยไปที่สนามด้วยตนเอง หรือแม้กระทั่งได้เห็น กันเนอร์สซอรัส ผ่านสื่อ พวกเขาต่างก็รู้ว่านี่คือเรื่องไม่ถูกต้อง
สำหรับเจอร์รี่ คีย์ ที่อายุ 55 ปี หากเป็นบ้านเราก็ต้องบอกว่าเข้าสู้วัยใกล้เกษียณอายุงานเข้าไปทุกที แน่นอน เจอร์รี่ ไม่ได้ร่ำรวยเงินทองอะไร เพราะงานที่เขามอบความสุขให้เขา แต่ไม่ได้ทำให้เขาเป็นเศรษฐี ดังนั้นการโดนไล่ออกจากงานตอนอายุ 55 ปี คือฝันร้ายที่ไม่ว่าใครก็ไม่อยากเจอ
ทุกคนเห็นพ้องต้องกันว่านี่คือการฆ่าวัฒนธรรมของสโมสรโดยแท้จริง ทุกคนคิดเสมอว่า กันเนอร์สซอรัส คือคนในครอบครัว ไดโนเสาร์ที่มีแต่รอยยิ้มและเป็นขวัญใจสร้างความสุขให้แฟนๆ ไม่ควรต้องตกงานเพียงเพราะว่าสโมสรต้องการ “ลดงบประมาณที่ไม่จำเป็น”
การโดนปลดออกของ เจอร์รี่ คีย์ คือการปลุกให้แฟนๆของ อาร์เซน่อล ร่วมกันแสดงพลังอย่างพร้อมเพียง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่แฟนบอลต้องเจอกับความเห็นแก่ตัวของผู้บริหาร เรื่องมันสะสมมาตั้งแต่การให้งบประมาณในการซื้อตัวเสริมทัพเเล้ว
อย่างไรก็ตามเรื่องนั้นยังพอมองข้ามไปได้บ้าง เมื่อสถานการณ์ของทีมดีขึ้นเสียงบ่นของแฟนๆก็น้อยลงไป โดยเฉพาะการในเสริมทัพในซีซั่นนี้ที่ทำได้ดีมาก ได้นักเตะที่แก้ปัญหากับทีมอย่างตรงจุด
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นการซื้อนักเตะด้วยราคารวมกันมากกว่า 100 ล้านปอนด์ แต่กลับปลดพนักงานตัวเล็กๆที่ทำงานกับสโมสรมาอย่างยาวนาน มันคือการกระทำที่เห็นได้ชัดว่าบอร์ดบริหารของอาร์เซน่อลที่เป็นเป้าของแฟนบอลอย่าง สแตน โครเอเก้ กำลังทำผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า นอกจากใส่ใจทีมน้อยเกินไปแล้ว ยังไม่เคยเข้าใจวัฒนธรรมและหัวอกของแฟนบอลแม้แต่น้อย
แฟนบอลอาร์เซน่อลทั้วโลกตัดสินใจรุมประณามการกระทำนั้นและเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับ เจอร์รี่ คีย์ แฟนบอลพันธ์แท้และผู้รับหน้าที่สร้างความสุขให้กับทั้งนักเตะและทุกคนที่เกี่ยวข้องกับสโมสร
พวกเขาทุกคนต้องการสิ่งเดียวกันนั่นคือ “คืนชีวิตให้กันเนอร์สซอรัส และ เจอร์รี่ คีย์” อีกครั้ง เพื่อเอาหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ของ สโมสร อาร์เซน่อล กลับมา
“ลืมดีล ปาเตย์ ไปได้เลย เราคว้านักเตะค่าตัวเเพงเงินเดือนสูง แต่กลับตัดชิ้นส่วนสำคัญของสโมสรอย่างกันเนอร์สซอรัสทิ้งไปได้อย่างหน้าตาเฉย”
“กล้าสาบานไหมว่านี่คือเรื่องจริง การไล่ กันเนอร์สซอรัส ออกจะเป็นฟางเส้นสุดท้ายของผมกับสโมสร”
“ผมเช็คข่าวตลาดซื้อขายจนนาทีสุดท้าย และพบสิ่งที่เจ็บปวดคือเรากำลังจะปล่อยกันเนอร์สซอรัสออกจากทีม”
“หนึ่งในสโมสรที่ผลประกอบการดีที่สุดในโลกกำลังจะไล่ชายผู้สวมชุดมาสค็อตมา 27 ปีออก ด้วยเหตุผลของการจำกัดงบประมาณ…ห่วยแตกกว่านี้ไม่มีอีกเเล้ว”
นี่คือข้อความจากทวิตเตอร์ส่วนหนึ่งทีแฟนๆของ อาร์เซน่อล มีต่อการตัดสินใจครั้งนี้ มันแสดงให้เห็นชัดเจนว่าแม้นักเตะที่ว่ากันว่าดีระดับต้นๆในตำแหน่งมิดฟิลด์อย่าง ปาเตย์ ไม่มีค่าสำหรับพวกเขา หากเทียบกับเจ้าไดโนเสาร์ที่ผูกพันกับพวกเขามานานหลายปี
บนข้อความที่ออกแนวด่าทอและเห็นตรงข้ามกับสโมสร คุณเห็นอะไรบ้าง?
มันมีสิ่งหนึ่งที่ซ่อนอยู่ สิ่งนี้คือความสำคัญของคนๆหนึ่งที่ทำงานหนักอย่างเงียบๆมาตลอดเวลา … วันใดที่เขายังอยู่และทำหน้าที่ของตัวเองต่อไป ทุกคนจะไม่รู้สึกอะไร ไม่ได้คิดว่ามันพิเศษจนมีอะไรให้พูดถึง
แต่ถ้าวันหนึ่งคนๆนั้นหยุดความทุ่มเทที่เคยมี และหายออกไปจากชีวิตประจำวันของคุณแบบที่เคยเห็นมาในทุกเมื่อเชื่อวัน เมื่อนั้นผู้คนจะเริ่มคิดถึงเขา และแน่นอนยิ่งกว่านั้นคือการคิดถึงสิ่งที่เขาทำ
การต่อสู้เพื่อวัฒนธรรมและหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ของสโมสรอย่าง กันเนอร์สซอรัส และ เจอร์รี่ คีย์ จบลงอย่างสวยงามและเป็นชัยชนะของแฟนๆอาร์เซน่อลอย่างแท้จริง
เมซุต โอซิล คือคนที่ทวิตข้อความเพื่อยืนยันว่าพร้อมจะให้สโมสรหักค่าเหนื่อยของเขา เพื่อแบ่งมาจ่ายให้ เจอร์รี่ คีย์ ได้กลับมาสวมใส่ชุดมาสค็อตกันเนอร์สซอรัส และกลับมาทำงานที่เขารักต่อไป เหตุผลไม่ใช่ความสงสารหรือเห็นใจ แต่มันคือความเข้าใจว่า “ชุดมาสค็อตชุดนี้กลืนกันกับร่างกายของเขาจนแยกไม่ออกเสียเเล้ว”
การขยับของ โอซิล ทำให้ สโมสรอาร์เซน่อล ทบทวนเรื่องนี้ใหม่อีกครั้งและตัดสินใจกลับมาจ้างงาน เจอร์รี่ คีย์ ให้สวมวิญญาณกันเนอร์สซอรัส เพื่อรอวันที่สมาคมสามารถอนุญาตให้แฟนๆเข้าสนามได้ และเขาจะได้มอบความสุขเหมือนกับที่เขาเคยทำมาอยู่ทุกๆปี จากไฮบิวรี ถึง เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม
ท้ายที่สุดเเล้วงานทุกงานที่ทำไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่ามันทำให้เราเหนื่อยแค่ไหน แต่ใจความสำคัญคือมันทำให้เรามีความสุขหรือเปล่ามากกว่า สำหรับ เจอร์รี เหนื่อยแค่ไหนก็สบายมากสำหรับหน้าที่เป็นกันเนอร์สซอรัสตัวนี้
ไม่มีงานใดต่ำหากกระทำด้วยใจสูง นี่คือเรื่องราวที่เกิดขึ้นตลอดชีวิตของ เจอร์รี่ คีย์ วัย 55 ปี ไม่ว่าคุณจะเป็นแฟนบอลของ อาร์เซน่อล หรือไม่ เราเชื่อว่าคุณจะยกย่องในสิ่งที่เขาทำอย่างไร้ข้อโต้แย้ง… อย่างแน่นอน